วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

อุปสงค์

                                                                       อุปสงค์ (demand)

  • ความหมายของอุปสงค์
          จำนวนสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ ณ ระดับราคาต่าง ๆ กันของสินค้าชนิดนั้น หรือ ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ กันของผู้บริโภค หรือ ณ ระดับราคาต่าง ๆ กันของสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
  • ชนิดของอุปสงค์
1. อุปสงค์ต่อราคา  (price demand)  หมายถึง จำนวนสินค้าที่มีผู้ต้องการ ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าชนิดนั้น โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ อยู่คงที่ไม่เปลี่ยนแปล 

2.อุปสงค์ต่อรายได้ (income demand) หมายถึง จำนวนสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ ณ ระดับรายได้ต่าง ๆกันของผู้บริโภค ในระยะเวลาที่กำหนดให้ โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ อยู่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

3. อุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่น (cross demand) หมายถึง จำนวนสินค้าและบริการที่มีผู้บริโภคต้องการซื้อ ณ ระดับ ราคาต่าง ๆ ของสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน ภายในระยะ เวลาที่กำหนด โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นอยู่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
  • ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอุปสงค์และฟังก์ชันอุปสงค์ (demand determinants and demand function)
ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอุปสงค์
  1)  ระดับราคาสินค้าชนิดนั้นๆ ในตลาด (price : Px) ด้วยเหตุที่ผู้บริโภคมีรายได้จำกัด การที่ราคาสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคบางคนใช้สินค้าชนิดอื่นซึ่งราคายังคงที่ทดแทนจำนวนซื้อสินค้าและบริการชนิดนั้นก็จะลดลงในทางตรงข้ามถ้าราคาสินค้าและบริการชนิดหนึ่งลดลงผู้บริโภคก็จะซื้อสินค้าและบริการชนิดนั้นมากขึ้น

2)   ระดับรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภค (Income : I) โดยทั่วไปเมื่อ รายได้เฉลี่ยของผู้บริโภคสูงขึ้น ทำให้การซื้อสินค้าและบริการชนิดหนึ่ง ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยจะเปลี่ยนแปลงไปใน ทิศทางเดียวกัน ในกรณีที่เป็นสินค้าปกติ (normal goods)และสินค้าฟุ่มเฟือย (luxury goods) แต่จะเปลี่ยนแปลงไปใน  ทิศทางตรงกันข้ามกันในกรณีที่เป็นสินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods)

3)  การเปลี่ยนแปลงระดับราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

  3.1  สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน (substitute) การเปลี่ยนแปลงของ  ระดับราคาสินค้าประเภทนี้จะทำให้จำนวนซื้อสินค้าเดิม (Qx) เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม

  3.2  สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (complement) การเปลี่ยนแปลงของ  ระดับราคาสินค้าประเภทนี้ย่อมทำให้จำนวนซื้อสินค้าเดิม (Qx) เปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน

4)  ขนาดของประชากรทั้งหมด (population size : Pz)
   เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นความต้องการสินค้าและบริการจะสูงขึ้น  ด้วย
  • ฟังก์ชันอุปสงค์ (demand function) 


ฟังก์ชันอุปสงค์ข้างต้น แปลความหมายได้ว่า จำนวนซื้อสินค้า ขึ้นอยู่กับราคาของสินค้า X(Px) ระดับรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภค (I) ระดับราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน (Py) ขนาดของประชากรทั้งหมด (Pz) การกระจายรายได้ของครัวเรือน (Di) รสนิยมหรือความพอใจของผู้บริโภค (T) และดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาล (S)

อย่างไรก็ตามในการศึกษาอุปสงค์ จะห้ความสำคัญเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนซื้อสินค้าและบริการกับราคาเท่านั้น ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์ ได้ดัง



หมายความว่า จำนวนซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นอยู่กับราคาของสินค้าและบริการชนิดนั้น(Px)โดยที่ปัจจัยอื่น ๆ ถูกกำหนดให้คงที่

  • กฎของอุปสงค์ (law of demand)
  “ ถ้าสิ่งอื่น ๆ อยู่คงที่ จำนวนซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาของสินค้าและบริการชนิดนั้นเสมอ ” คำกล่าวนี้คือ   “ กฎอุปสงค์ ”  (low  of demand)
สาเหตุที่ทำให้จำนวนซื้อสินค้าและบริการกับราคา มีความสัมพันธ์ตรงกันข้ามกันเสมอ ด้วยผล 2 ประการ คือ
  1  ผลทางการทดแทน (substitute effect) เมื่อราคาสินค้าชนิดหนึ่งลดลง สินค้าชนิดนั้นจะกลายเป็นสินค้าที่มีราคาถูกลงเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่ใช้ทดแทนอื่น
  2  ผลทางรายได้ (income effect) เมื่อราคาสินค้า  ลดลงผู้บริโภคจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ที่เป็นตัวเงินไม่ได้เพิ่มขึ้น

  • ตารางอุปสงค์และเส้นอุปสงค์(demand schedule and demand curve)
ตารางอุปสงค์ มีอยู่ 2 ประเภท คือ
  1)   ตารางอุปสงค์เฉพาะบุคคล(individual demand schedule)เป็นชุดตัวเลขที่แสดงให้ทราบถึงจำนวนซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของคนใดคนหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ กันในระยะเวลาที่กำหนดให้
จากตัวเลขทั้งหมดในตาราง เราสามารถแสดงเป็นรูปกราฟได้ด้วยการหาจุดต่าง ๆ แต่ละจุดแทนด้วยราคาสินค้าระดับหนึ่งกับจำนวนซื้อสินค้าที่ตรงคู่กันเมื่อลากเส้นเชื่อมจุดต่าง ๆ จะได้เส้นอุปสงค์เฉพาะบุคคล (individual demand curve) ซึ่งเป็นเส้นที่ลาดลงจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง

2) ตารางอุปสงค์รวมหรือตารางอุปสงค์ของตลาด(total demand schedule or market demand schedule)
  เป็นชุดของตัวเลขที่แสดงให้ทราบถึงจำนวนซื้อสินค้าและบริการของตลาด  ณ ระดับราคาต่าง ๆ กัน ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง การหาจำนวนซื้อของตลาดทำได้โดยรวมจำนวนซื้อของบุคคลทั้งหมดในตลาด ณ ระดับราคาต่าง ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้
จากตัวเลขทั้งหมดในตาราง เราสามารถแสดงเส้น     อุปสงค์ของแต่ละบุคคล (ก. ข. และ ค.) เส้นอุปสงค์รวมหรือเส้นอุปสงค์ของตลาด หรือของทั้ง 3 คนรวมกัน (total demand curve or market demand curve)
  • ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงจำนวนซื้อและการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์
1.การเปลี่ยนแปลงจำนวนซื้อ (change in the quantity demanded) หมายถึง จำนวนซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งเปลี่ยนไปเนื่องจากราคาของสินค้าชนิดนั้นเปลี่ยนแปลงโดยที่ปัจจัยกำหนดอุปสงค์อื่นทั้ง 6 ตัว อยู่คงที่ ในกรณีเช่นนี้เส้นอุปสงค์จะไม่เปลี่ยนแปลงแต่เป็นเพียงเคลื่อนย้ายไปตามเส้นอุปสงค์
  2.การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ (change in demand) หมายถึง  การที่ปัจจัยกำหนดอุปสงค์อื่นๆ เช่น ระดับรายได้เฉลี่ยของครัวเรือน การเปลี่ยนแปลงระดับราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน ขนาดของประชากรทั้งหมด การกระจายรายได้ ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าและบริการนั้นและฤดูกาลหรือเทศกาลที่ต้องการใช้สินค้าและบริการนั้น ๆ ตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวในจำนวนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปและมีผลให้จำนวนซื้อเพิ่มขึ้นหรือลดลง ทั้ง ๆ ที่ระดับราคาสินค้ายังคงเดิมในกรณีเช่นนี้จะทำให้มีการเคลื่อนย้ายของเส้นอุปสงค์ทั้งเส้น (shift in demand curve) ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงจำนวนซื้อ เพราะนั่นเป็นเพียงการเคลื่อนย้ายไปตามเส้น
  
อุปสงค์เส้นเดิม (move along curve) หากปัจจัยอื่น ๆ (นอกจากราคาสินค้า) เปลี่ยนแปลงไป ที่มีผลให้จำนวนซื้อเพิ่มขึ้น  เส้นอุปสงค์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปทางขวามือ ในทางตรงกันข้าม5ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีผลให้จำนวนซื้อลดลง เส้นอุปสงค์ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปทางซ้ายมือ
เราสามารถสรุปได้ว่า เส้นอุปสงค์จะเปลี่ยนแปลงไปทางขวามือนั้นเป็นผลมาจากการที่รายได้เฉลี่ยของผู้บริโภคสูงขึ้น     ( I ­) สินค้าที่ใช้ทดแทนกันมีราคาสูงขึ้น (Ps ­) สินค้าที่ใช้ประกอบกันมีราคาลดลง (P¯) ประชากรมีขนาดเพิ่มขึ้น การกระจายรายได้ของประชากรมีความเท่าเทียมกันมากขึ้นสินค้าและบริการนั้นได้รับความนิยมมากขึ้น  (I ¯)  และสินค้านั้นอยู่ในฤดูกาล ( S ในฤดูกาล) ที่คนต้องการใช้ กรณีใดกรณีหนึ่งหรือหลายกรณีร่วมกัน


 ขอบคุณข้อมูลจาก  อาจารย์จรัญญ์  ตะวงษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น